Voicebot
Boonyawee Sirimaya
3
นาที อ่าน
May 16, 2025

ระบบทวงหนี้ยุคใหม่ด้วย AI อัจฉริยะที่เข้าใจลูกหนี้มากขึ้น

"ถึงเวลาจ่ายแล้ว!" อาจไม่ใช่ประโยคที่เจ้าหนี้ใช้บ่อยเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาท กลยุทธ์การทวงหนี้แบบเดิมๆ กำลังถูกแทนที่ด้วยการสื่อสารที่เข้าใจลูกหนี้มากขึ้นและใช้ข้อมูลเป็นหลัก

จากระบบที่เคยเน้นการไล่ทวงด้วยโทรศัพท์หรือจดหมาย กลายมาเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกหนี้ วิเคราะห์ความเสี่ยง และแนะนำทางออกที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วย “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI

ทำไมวิธีทวงหนี้แบบเดิมถึงไปต่อไม่ได้?

ภาพการ์ตูนแสดงคนกำลังพยายามแบกกล่องหนักที่มีป้าย "DEBT" (หนี้) เต็มไปด้วยบิลและเอกสาร
ภาระอันหนักอึ้งของการเก็บหนี้แบบดั้งเดิมที่มีต่อบุคคล

การทวงหนี้แบบดั้งเดิมมักใช้แรงงานคนสูง และมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น:

  • ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้ หรือไม่มีการตอบกลับ
    ต้นทุนสูง จากการใช้แรงงานคนในการติดตาม
  • สร้างความอึดอัดให้กับลูกหนี้ จากการสื่อสารที่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ
    ขาดข้อมูลเชิงลึก ในการวิเคราะห์พฤติกรรมหรือความสามารถในการจ่าย

ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และหนี้ครัวเรือนพุ่ง การทวงหนี้แบบเดิมจึงไม่เพียงพออีกต่อไป

AI เข้ามาเปลี่ยนเกมทวงหนี้อย่างไร?

AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่เข้ามาช่วยให้ “ฉลาดขึ้น” และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการสื่อสาร

1. วิเคราะห์ความเสี่ยงด้วย AI

AI ใช้โมเดล Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เช่น:

  • ประวัติการชำระเงิน
    คะแนนเครดิต
  • พฤติกรรมบนช่องทางออนไลน์
  • ปัจจัยประชากรศาสตร์

AI จะประเมินว่าใครมีแนวโน้มจ่ายหนี้มากที่สุด และควรใช้วิธีใดในการสื่อสาร เพื่อให้การทวงหนี้แม่นยำมากขึ้น

เช่น ถ้า AI พบว่ากลุ่มวัยรุ่นตอบสนองต่อข้อความ SMS มากกว่าการโทร อัลกอริธึมก็จะเลือกใช้ SMS เป็นช่องทางหลักในการติดตาม

2. สื่อสารเฉพาะบุคคลในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

AI ที่มีระบบ Natural Language Processing (NLP) สามารถเขียนข้อความที่เหมาะกับสถานการณ์ของลูกหนี้แต่ละราย เช่น:

  • น้ำเสียงสุภาพสำหรับหนี้ใหม่
  • น้ำเสียงเร่งด่วนสำหรับหนี้ค้างนาน
  • ปรับภาษาให้เข้ากับพื้นที่หรือความเข้าใจของลูกหนี้

AI ยังสามารถ “อ่านอารมณ์” จากข้อความโต้ตอบ และปรับสำนวนให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์อีกด้วย

3. ระบบอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง

AI chatbot สามารถทำงานแทนเจ้าหน้าที่ได้ในหลายหน้าที่ เช่น:

  • ตอบคำถามทั่วไป
  • เสนอแผนผ่อนชำระ
  • ส่งแจ้งเตือน
  • ต่อรองยอดหนี้

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้แม้ไม่มีเจ้าหน้าที่ ทำให้ธุรกิจลดต้นทุน และยังตอบลูกค้าได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อ AI ทำงานร่วมกับมนุษย์ = ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

การผสมผสานระหว่าง ความเข้าใจแบบมนุษย์ กับ การตัดสินใจแบบ AI คือสูตรสำเร็จของการทวงหนี้ยุคใหม่

ประโยชน์ของการใช้ AI ในการทวงหนี้:

  • เพิ่มอัตราการชำระหนี้ ได้ชัดเจน
    ลดต้นทุนการดำเนินงาน
    ลดเวลาการติดตาม
  • ทำให้ลูกหนี้รู้สึกได้รับความเข้าใจ
  • ปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ได้ง่ายและมีระบบมากขึ้น

เปรียบเทียบรูปแบบ:

ตารางเปรียบเทียบระหว่างวิธีการเก็บหนี้แบบดั้งเดิมและแบบขับเคลื่อนด้วย AI
ความแตกต่างหลัก: การเปรียบเทียบวิธีการเก็บหนี้แบบดั้งเดิมกับแบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ประเด็นด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว

การใช้ AI ในการทวงหนี้ต้องมีกรอบที่ชัดเจน เช่น:

  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  • หลีกเลี่ยงอคติในโมเดล AI
    ความโปร่งใสในการสื่อสาร
  • เปิดทางให้ลูกหนี้เลือกพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จริง

ใครใช้ AI ทวงหนี้ไปแล้วบ้าง?

ไม่ใช่แค่ธุรกิจเทคโนโลยีหรือธนาคารขนาดใหญ่เท่านั้นที่เริ่มนำ AI เข้ามาในระบบติดตามหนี้ แต่ในหลายอุตสาหกรรมก็เริ่ม “ขยับตัว” ใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง เพื่อรับมือกับความท้าทายในการเก็บเงิน และลดภาระงานของทีมงานที่ต้องทำซ้ำๆ ทุกวัน

ตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ AI ในการติดตามหนี้แล้ว มีดังนี้:

✅ 1. ธนาคารและการเงิน

  • วิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกหนี้แบบเรียลไทม์
  • ส่งข้อความเตือนจ่ายหนี้ในเวลาที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการจ่ายของลูกค้าแต่ละราย
  • เสนอแผนการผ่อนชำระแบบยืดหยุ่นอัตโนมัติ

ผลลัพธ์: ช่วยให้ธนาคารเพิ่มอัตราการชำระคืนได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดต้นทุนจากการโทรติดตามซ้ำๆ โดยพนักงาน

✅ 2. โทรคมนาคม

ในอุตสาหกรรมที่มีฐานลูกค้าเป็นล้านราย เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์มือถือ AI ช่วยให้:

  • ตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งานและการจ่ายบิล
  • คาดการณ์ว่าใครมีแนวโน้มจะจ่ายช้า
  • ส่งข้อความแจ้งเตือนแบบเฉพาะบุคคลที่สื่อสารอย่างมีความเห็นใจมากขึ้น

ผลลัพธ์: เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บหนี้ และลดอัตราการสูญเสียลูกค้าจากการทวงหนี้แบบแข็งกระด้าง

✅ 3. อีคอมเมิร์ซและบริการ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง”

บริการ Buy Now, Pay Later (BNPL) กำลังเติบโตในตลาดไทยและทั่วโลก AI ถูกใช้ในการ:

  • ประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ซื้อก่อนอนุมัติวงเงิน
  • ตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงในการชำระเงินช้า
  • ส่งแชทหรืออีเมลเตือนในเวลาที่เหมาะสมที่สุดตามนิสัยของลูกค้า

ผลลัพธ์: ช่วยลดหนี้ค้างจ่าย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างแบรนด์กับผู้ใช้

✅ 4. โรงพยาบาลและบริษัทประกัน

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมักซับซ้อนและล่าช้าในการเรียกเก็บ AI ช่วยในการ:

  • ตรวจสอบรายการค่ารักษาพยาบาลแบบอัตโนมัติ
  • จัดลำดับการติดตามตามวงเงินหรือระยะเวลาค้างชำระ
  • แจ้งเตือนผู้ป่วยหรือลูกค้าผ่านระบบอัตโนมัติ เช่น Voice bot หรือข้อความ

ผลลัพธ์: ลดภาระฝ่ายบัญชี เพิ่มโอกาสในการรับเงินเร็วขึ้น และลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากคน

📊 จากรายงานของ Kaplan Collection Agency และบริษัท Chaser ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการติดตามหนี้ในยุโรป พบว่าองค์กรที่นำ AI มาใช้ในการบริหารกระบวนการเก็บหนี้ สามารถเพิ่มอัตราการเก็บหนี้ได้ถึง 20–40% ภายในปีแรกของการใช้งาน (Kaplan Group, 2024)

การทวงหนี้ในยุคใหม่ไม่ควรมีแต่แรงกดดัน แต่ควรมี "ความเข้าใจและข้อมูล" ร่วมด้วย

AI ทำให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพขึ้นทั้งฝั่งเจ้าหนี้และลูกหนี้ และที่สำคัญ — มนุษย์ยังเป็นศูนย์กลางของกระบวนการนี้อยู่เสมอ เพียงแค่ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สรุป

AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการทวงหนี้อย่างสิ้นเชิง — จาก “การไล่ทวงแบบไม่มีหัวใจ” ไปสู่ “การเข้าใจลูกหนี้แบบมีข้อมูลรองรับ”

ธุรกิจที่ต้องการเก็บหนี้ให้ได้มากขึ้น ควรเริ่มมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยให้เข้าถึงลูกหนี้ได้แบบตรงจุด และมีประสิทธิภาพโดยไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไป

ทาง Amity Solutions ก็มีบริการ AI สำหรับติดตามหนี้ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเช่นกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่