.avif)
"ถึงเวลาจ่ายแล้ว!" อาจไม่ใช่ประโยคที่เจ้าหนี้ใช้บ่อยเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาท กลยุทธ์การทวงหนี้แบบเดิมๆ กำลังถูกแทนที่ด้วยการสื่อสารที่เข้าใจลูกหนี้มากขึ้นและใช้ข้อมูลเป็นหลัก
จากระบบที่เคยเน้นการไล่ทวงด้วยโทรศัพท์หรือจดหมาย กลายมาเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกหนี้ วิเคราะห์ความเสี่ยง และแนะนำทางออกที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วย “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI
.avif)
การทวงหนี้แบบดั้งเดิมมักใช้แรงงานคนสูง และมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น:
ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และหนี้ครัวเรือนพุ่ง การทวงหนี้แบบเดิมจึงไม่เพียงพออีกต่อไป
AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่เข้ามาช่วยให้ “ฉลาดขึ้น” และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการสื่อสาร
AI ใช้โมเดล Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เช่น:
AI จะประเมินว่าใครมีแนวโน้มจ่ายหนี้มากที่สุด และควรใช้วิธีใดในการสื่อสาร เพื่อให้การทวงหนี้แม่นยำมากขึ้น
เช่น ถ้า AI พบว่ากลุ่มวัยรุ่นตอบสนองต่อข้อความ SMS มากกว่าการโทร อัลกอริธึมก็จะเลือกใช้ SMS เป็นช่องทางหลักในการติดตาม
AI ที่มีระบบ Natural Language Processing (NLP) สามารถเขียนข้อความที่เหมาะกับสถานการณ์ของลูกหนี้แต่ละราย เช่น:
AI ยังสามารถ “อ่านอารมณ์” จากข้อความโต้ตอบ และปรับสำนวนให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์อีกด้วย
AI chatbot สามารถทำงานแทนเจ้าหน้าที่ได้ในหลายหน้าที่ เช่น:
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้แม้ไม่มีเจ้าหน้าที่ ทำให้ธุรกิจลดต้นทุน และยังตอบลูกค้าได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง
การผสมผสานระหว่าง ความเข้าใจแบบมนุษย์ กับ การตัดสินใจแบบ AI คือสูตรสำเร็จของการทวงหนี้ยุคใหม่
.avif)
การใช้ AI ในการทวงหนี้ต้องมีกรอบที่ชัดเจน เช่น:
ไม่ใช่แค่ธุรกิจเทคโนโลยีหรือธนาคารขนาดใหญ่เท่านั้นที่เริ่มนำ AI เข้ามาในระบบติดตามหนี้ แต่ในหลายอุตสาหกรรมก็เริ่ม “ขยับตัว” ใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง เพื่อรับมือกับความท้าทายในการเก็บเงิน และลดภาระงานของทีมงานที่ต้องทำซ้ำๆ ทุกวัน
ตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ AI ในการติดตามหนี้แล้ว มีดังนี้:
ผลลัพธ์: ช่วยให้ธนาคารเพิ่มอัตราการชำระคืนได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดต้นทุนจากการโทรติดตามซ้ำๆ โดยพนักงาน
ในอุตสาหกรรมที่มีฐานลูกค้าเป็นล้านราย เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์มือถือ AI ช่วยให้:
ผลลัพธ์: เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บหนี้ และลดอัตราการสูญเสียลูกค้าจากการทวงหนี้แบบแข็งกระด้าง
บริการ Buy Now, Pay Later (BNPL) กำลังเติบโตในตลาดไทยและทั่วโลก AI ถูกใช้ในการ:
ผลลัพธ์: ช่วยลดหนี้ค้างจ่าย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างแบรนด์กับผู้ใช้
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมักซับซ้อนและล่าช้าในการเรียกเก็บ AI ช่วยในการ:
ผลลัพธ์: ลดภาระฝ่ายบัญชี เพิ่มโอกาสในการรับเงินเร็วขึ้น และลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากคน
📊 จากรายงานของ Kaplan Collection Agency และบริษัท Chaser ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการติดตามหนี้ในยุโรป พบว่าองค์กรที่นำ AI มาใช้ในการบริหารกระบวนการเก็บหนี้ สามารถเพิ่มอัตราการเก็บหนี้ได้ถึง 20–40% ภายในปีแรกของการใช้งาน (Kaplan Group, 2024)
การทวงหนี้ในยุคใหม่ไม่ควรมีแต่แรงกดดัน แต่ควรมี "ความเข้าใจและข้อมูล" ร่วมด้วย
AI ทำให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพขึ้นทั้งฝั่งเจ้าหนี้และลูกหนี้ และที่สำคัญ — มนุษย์ยังเป็นศูนย์กลางของกระบวนการนี้อยู่เสมอ เพียงแค่ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการทวงหนี้อย่างสิ้นเชิง — จาก “การไล่ทวงแบบไม่มีหัวใจ” ไปสู่ “การเข้าใจลูกหนี้แบบมีข้อมูลรองรับ”
ธุรกิจที่ต้องการเก็บหนี้ให้ได้มากขึ้น ควรเริ่มมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยให้เข้าถึงลูกหนี้ได้แบบตรงจุด และมีประสิทธิภาพโดยไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไป
ทาง Amity Solutions ก็มีบริการ AI สำหรับติดตามหนี้ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเช่นกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่