.avif)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตอบแชทลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการอัตโนมัติ ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า — สิ่งเหล่านี้ทำให้ AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพและลดต้นทุนขององค์กร
แต่การนำ AI มาใช้งานในองค์กรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับตัวเทคโนโลยีเท่านั้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือ “การเลือกผู้ให้บริการ AI ที่เหมาะสม” เพราะไม่ใช่ทุกบริษัทที่ขายโซลูชัน AI จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจคุณได้อย่างแท้จริง
ถึงแม้ AI จะถูกพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่เบื้องหลังยังเต็มไปด้วยความซับซ้อน ธุรกิจจึงต้องการ “ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นพาร์ตเนอร์จริงๆ” ไม่ใช่แค่บริษัทที่ขายซอฟต์แวร์
รายงานจาก McKinsey Global Institute ที่ระบุว่า เทคโนโลยี Generative AI มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจทั่วโลกได้ถึง 2.6 ถึง 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในบางกรณีได้ถึง 15% ถึง 40% เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี AI รุ่นก่อนหน้า (Fast company, 2023)
แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ให้บริการ AI รายไหน “ใช่” สำหรับธุรกิจของคุณ?
ลองพิจารณาตาม 8 ข้อนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน จะช่วยให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ผู้ให้บริการ AI ที่มีประสบการณ์ตรงกับอุตสาหกรรมของคุณจะเข้าใจความต้องการและปัญหาเฉพาะทางได้ดีกว่า เช่น หากคุณอยู่ในอุตสาหกรรมการเงินหรือการแพทย์ ผู้ให้บริการควรเข้าใจเรื่องข้อกำหนดทางกฎหมาย ความปลอดภัย และความแม่นยำของข้อมูลที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เหตุผลสำคัญ: ยิ่งผู้ให้บริการเข้าใจบริบทธุรกิจของคุณมากเท่าไหร่ การใช้งาน AI ก็จะยิ่งแม่นยำและเห็นผลเร็วขึ้น
ธุรกิจที่ดีไม่มีใครอยากหยุดอยู่กับที่ เช่นเดียวกับ AI — โซลูชันที่คุณเลือกต้องสามารถรองรับการเติบโตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น ปริมาณข้อมูลที่มากขึ้น หรือการขยายไปยังหลายสาขาในหลายประเทศ
พิจารณาเรื่องเหล่านี้:
หลายองค์กรเริ่มตระหนักว่า AI ที่ให้คำตอบอย่างเดียวโดยไม่อธิบายเหตุผลอาจสร้างความไม่โปร่งใสหรือเกิดข้อผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว ผู้ให้บริการที่ดีควรมี:
AI ต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมากในการฝึกและใช้งาน ซึ่งหลายครั้งเป็นข้อมูลสำคัญหรือข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน หรือประวัติการใช้งานของลูกค้า เลือกผู้ให้บริการที่:
AI ที่ดีควรสามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือที่คุณใช้อยู่แล้วได้ เช่น ระบบ CRM, ระบบ HR, ระบบบัญชี หรือแอปพลิเคชันภายในองค์กร ผู้ให้บริการที่ดีควร:
ไม่ใช่ทุกทีมจะเข้าใจการใช้งาน AI ได้ทันที เพราะบางครั้งการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ และการสนับสนุนจากผู้ให้บริการเป็นอย่างมาก
ควรมองหาผู้ให้บริการที่:
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การนำ AI มาใช้ในที่ทำงานล่าช้าคือการขาดการฝึกอบรมและการสนับสนุนที่เหมาะสม พบว่าเกือบหนึ่งในสาม (32%) ของผู้ที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือ AI ระบุว่าสาเหตุหลักมาจากการขาดความเข้าใจ การสนับสนุน หรือการฝึกอบรม แม้ว่าการผสานรวมเทคโนโลยี AI จะเพิ่มขึ้น แต่มีเพียง 13% ของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่รายงานว่าได้รับการฝึกอบรมเพื่อช่วยให้พวกเขานำเครื่องมือ AI มาใช้ ช่องว่างในการฝึกอบรมนี้กำลังชะลอการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ (Hays, 2024)
ในขณะที่ AI มีพลังในการตัดสินใจแทนมนุษย์ มันก็อาจแฝงมาด้วยอคติหรือผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ เช่น การตัดสินใจผิดพลาดเพราะข้อมูลที่ไม่สมดุล หรือส่งผลต่อกลุ่มผู้ใช้งานบางประเภทโดยไม่รู้ตัว เลือกผู้ให้บริการที่:
ผู้ให้บริการ AI ควรสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า ระบบของเขาจะสร้าง “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” ให้กับคุณได้อย่างไร เช่น การลดเวลาตอบลูกค้าลง 40%, การประหยัดต้นทุนฝ่ายบริการลูกค้า หรือการเพิ่มยอดขายจากการแนะนำสินค้าด้วย AI
ผู้ให้บริการที่ดีควรมี:
AI ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือไฮเทค แต่คือ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ที่คุณต้องเลือกให้รอบคอบ เพราะหากเลือกผิด นอกจากจะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการแล้ว อาจต้องเสียเวลาและต้นทุนจำนวนมากไปกับการแก้ไขหรือเปลี่ยนระบบในอนาคต
ดังนั้น ก่อนจะเซ็นสัญญาหรือเริ่มใช้ AI กับธุรกิจของคุณ ลองย้อนกลับมาเช็ก 8 ข้อนี้อีกครั้ง — เพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังร่วมงานกับ “ผู้ให้บริการที่ใช่” ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ทาง Amity Solutions ก็มีบริการ AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเช่นกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่