หากคุณคิดว่าเทคโนโลยี Generative AI (Gen AI) กำลังจะถึงจุดอิ่มตัว… คิดใหม่อีกครั้ง เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2025 คือคลื่นลูกใหม่ที่ทั้งลึก เร็ว และแรงกว่าที่เคยเห็นมา
จากผู้ช่วยที่พิมพ์งานให้ กลายเป็น AI ที่สามารถออกแบบเว็บไซต์ทั้งระบบ แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ หรือแม้แต่ถกเถียงประเด็นทางสังคมอย่างมีเหตุผล เทคโนโลยีนี้กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราใช้ชีวิตและทำงานอย่างรวดเร็ว
และนี่คือเทรนด์ Gen AI ที่คุณควรจับตาให้ดี เพราะมันอาจเปลี่ยนทั้งอุตสาหกรรม และวิธีคิดของคุณไปตลอดกาล
จากเดิมที่เราคุ้นชินกับการใช้ AI ตัวเดียว ตอนนี้กำลังเข้าสู่ยุคของระบบ “Agent AI หลายตัวที่ทำงานร่วมกัน” (Multi-Agent Systems) แต่ละตัวมีหน้าที่แตกต่างกันไปตามความสามารถเฉพาะด้านที่ถนัด
รูปแบบการทำงานร่วมกันของ AI เหล่านี้ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ทั้งแม่นยำและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น แต่อีกด้านก็เพิ่มความเสี่ยงเรื่องการประสานงานผิดพลาด และพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งองค์กรต้องมีระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็ง (arXiv, 2025)
ก่อนหน้านี้ AI อาจยังตอบคำถามแบบไม่มีชีวิตชีวาเนื่องจากข้อจำกัดทางอารมณ์ แต่ในตอนนี้ ด้วยความฉลาดทางอารมณ์ที่ถูกสร้างเข้าไปในโมเดลใหม่ๆ Gen AI เริ่มเข้าใจ “อารมณ์” และ “น้ำเสียง” ของผู้ใช้ได้มากขึ้น
ตัวอย่างการใช้งาน:
ความสามารถด้านนี้ช่วยให้ AI มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ดีขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่น และสร้างประสบการณ์ใช้งานที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
เมื่อ AI มีอิทธิพลต่อชีวิตมากขึ้น ภาครัฐและองค์กรกำกับดูแลเริ่มเข้ามาจัดระเบียบอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในยุโรปที่มีการประกาศใช้ กฎหมาย AI Act อย่างเป็นทางการในปี 2024 ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานระดับโลก (France24, 2025)
สิ่งที่เราจะเห็นชัดขึ้นในปลายปีนี้:
องค์กรที่ไม่ปรับตัว อาจเผชิญทั้งปัญหาด้านกฎหมายและความเชื่อมั่นจากผู้ใช้
หลายธุรกิจเริ่มหันมาใช้ “AI-native platforms” หรือระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ AI ตั้งแต่แรก ไม่ใช่แค่เพิ่มฟีเจอร์ AI ทีหลัง
ตัวอย่างเช่น:
ใครที่ใช้ก่อน ได้เปรียบเรื่องความเร็วในการทำงาน และต้นทุนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด (McKinsey, 2025)
แม้ว่าการพิมพ์ยังคงเป็นวิธีหลักในการโต้ตอบกับ AI แต่ “การสั่งงานด้วยเสียง” (Voice-first AI) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความก้าวหน้าในเครื่องมือการจดจำเสียง (speech recognition), การเข้าใจน้ำเสียงธรรมชาติ (natural tone understanding), และการแปลแบบเรียลไทม์ (real-time translation) ทำให้ AI มีความสามารถในการสนทนาที่ซับซ้อนผ่านเสียงได้ดียิ่งขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว:
ความสามารถในการเข้าใจน้ำเสียง และแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ AI เข้าถึงคนจำนวนมากขึ้นอย่างแท้จริง
วันนี้ Gen AI ไม่ได้มาแทนที่นักสร้างสรรค์ แต่กลายเป็น “พาร์ตเนอร์ร่วมงาน” ที่ช่วยจุดประกายความคิด สร้างเนื้อหา และทดลองไอเดียใหม่ ๆ
ตัวอย่าง:
บริษัทอย่าง Pika กำลังทำให้การสร้างวิดีโอคุณภาพสูงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปก็ทำได้ (Fast Company, 2025)
เพราะอนาคตของ Gen AI ไม่ใช่แค่ “เทคโนโลยีที่ดีกว่า” แต่คือ “การเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีใช้ชีวิตของเราโดยสิ้นเชิง”
สรุปเทรนด์เด่นที่ต้องรู้:
ทาง Amity Solutions ก็มีบริการ Generative AIที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเช่นกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่