Generative AI

ก้าวต่อไปของ Gen AI: เทรนด์ที่ต้องจับตาในช่วงปลายปี 2025

ผู้หญิงกำลังโต้ตอบกับอินเทอร์เฟซโฮโลแกรมแห่งอนาคตที่แสดงแอปพลิเคชัน AI รวมถึงอวตารเสมือน ผู้ใช้หูฟัง VR ลูกบาศก์ 3D และภูมิทัศน์ธรรมชาติ พร้อมแบรนด์ Amity Solutions

คลื่นลูกใหม่ของ Gen AI กำลังมา จับตามองเทรนด์ AI หลังจากนี้

หากคุณคิดว่าเทคโนโลยี Generative AI (Gen AI) กำลังจะถึงจุดอิ่มตัว… คิดใหม่อีกครั้ง เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2025 คือคลื่นลูกใหม่ที่ทั้งลึก เร็ว และแรงกว่าที่เคยเห็นมา

จากผู้ช่วยที่พิมพ์งานให้ กลายเป็น AI ที่สามารถออกแบบเว็บไซต์ทั้งระบบ แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ หรือแม้แต่ถกเถียงประเด็นทางสังคมอย่างมีเหตุผล เทคโนโลยีนี้กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราใช้ชีวิตและทำงานอย่างรวดเร็ว

และนี่คือเทรนด์ Gen AI ที่คุณควรจับตาให้ดี เพราะมันอาจเปลี่ยนทั้งอุตสาหกรรม และวิธีคิดของคุณไปตลอดกาล

1. ยุคของ Agent AI หลายตัวร่วมมือกัน: ทีมงานดิจิทัลที่ทำงานแทนคนจริง

บุคคลที่มีแขนหุ่นยนต์หลายแขนกำลังจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน รวมถึงแล็ปท็อป โทรศัพท์ นาฬิกา และกระเป๋า
ระบบ Agent AI ช่วยให้จัดการงานหลายอย่างพร้อมกันในหลายด้าน

จากเดิมที่เราคุ้นชินกับการใช้ AI ตัวเดียว ตอนนี้กำลังเข้าสู่ยุคของระบบ “Agent AI หลายตัวที่ทำงานร่วมกัน” (Multi-Agent Systems) แต่ละตัวมีหน้าที่แตกต่างกันไปตามความสามารถเฉพาะด้านที่ถนัด

  • บอทตัวหนึ่งเขียนคอนเทนต์
  • อีกตัวตรวจสอบข้อเท็จจริง
  • อีกตัวแก้สำนวนให้เหมาะกับผู้อ่าน
  • และอีกตัวแปลภาษาทันทีแบบเรียลไทม์

รูปแบบการทำงานร่วมกันของ AI เหล่านี้ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ทั้งแม่นยำและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น แต่อีกด้านก็เพิ่มความเสี่ยงเรื่องการประสานงานผิดพลาด และพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งองค์กรต้องมีระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็ง (arXiv, 2025)

2. AI ที่เข้าใจอารมณ์: สื่อสารเหมือนมนุษย์มากขึ้น

มนุษย์และหุ่นยนต์ AI หันหน้าเข้าหากันพร้อมเส้นเชื่อมต่อประสาทระหว่างหัว แสดงความเข้าใจทางอารมณ์
ระบบ AI ปัจจุบันแสดงความฉลาดทางอารมณ์ขั้นสูง

ก่อนหน้านี้ AI อาจยังตอบคำถามแบบไม่มีชีวิตชีวาเนื่องจากข้อจำกัดทางอารมณ์ แต่ในตอนนี้ ด้วยความฉลาดทางอารมณ์ที่ถูกสร้างเข้าไปในโมเดลใหม่ๆ Gen AI เริ่มเข้าใจ “อารมณ์” และ “น้ำเสียง” ของผู้ใช้ได้มากขึ้น

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • บอทบริการลูกค้าที่ตอบสนองได้ดีเมื่อเจอลูกค้าโกรธหรือเครียด
  • AI ผู้ช่วยด้านสุขภาพจิตที่ให้คำตอบเชิงเข้าอกเข้าใจ
  • ระบบอัตโนมัติที่ปรับการโต้ตอบตามอารมณ์ของผู้ใช้งานในขณะนั้น

ความสามารถด้านนี้ช่วยให้ AI มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ดีขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่น และสร้างประสบการณ์ใช้งานที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

3. แรงกดดันด้านกฎระเบียบ

ผู้เชี่ยวชาญสองคนกำลังตรวจสอบแผนภูมิข้อมูลและเอกสารบนชั้นที่เต็มไปด้วยแฟ้มที่จัดระเบียบ
การปฏิบัติตามกฎระเบียบต้องการเอกสารที่เป็นระบบและความโปร่งใสในการดำเนินงาน AI

เมื่อ AI มีอิทธิพลต่อชีวิตมากขึ้น ภาครัฐและองค์กรกำกับดูแลเริ่มเข้ามาจัดระเบียบอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในยุโรปที่มีการประกาศใช้ กฎหมาย AI Act อย่างเป็นทางการในปี 2024 ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานระดับโลก (France24, 2025)

สิ่งที่เราจะเห็นชัดขึ้นในปลายปีนี้:

  • เนื้อหาต้องระบุชัดเจนว่าใช้ AI สร้างหรือไม่
  • มีระบบรายงานความลำเอียงของ AI
  • ระบบ AI ต้องสามารถตรวจสอบได้ย้อนหลัง (auditability)

องค์กรที่ไม่ปรับตัว อาจเผชิญทั้งปัญหาด้านกฎหมายและความเชื่อมั่นจากผู้ใช้

4. แพลตฟอร์มที่ "สร้างมาเพื่อ AI": ไม่ใช่แค่แถม AI แต่คิดใหม่ตั้งแต่ต้น

บุคคลที่มีสไตล์กำลังโบกมือจากอินเทอร์เฟซวิดีโอพร้อมป้าย AI และพื้นหลังไล่สี
แพลตฟอร์มที่สร้างมาสำหรับ AI ผสานปัญญาประดิษฐ์เข้ากับประสบการณ์ผู้ใช้อย่างลงตัว

หลายธุรกิจเริ่มหันมาใช้ “AI-native platforms” หรือระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ AI ตั้งแต่แรก ไม่ใช่แค่เพิ่มฟีเจอร์ AI ทีหลัง

ตัวอย่างเช่น:

  • ระบบ CRM ที่คาดการณ์ยอดขาย และเขียนข้อเสนอให้อัตโนมัติ
  • แพลตฟอร์ม HR ที่คัดเลือกผู้สมัครงาน และจัดการฟีดแบ็คอัตโนมัติ
  • เครื่องมือสร้างสรรค์ที่ให้ AI ร่วมออกแบบพร้อมกับคนจริง

ใครที่ใช้ก่อน ได้เปรียบเรื่องความเร็วในการทำงาน และต้นทุนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด (McKinsey, 2025)

5. อินเตอร์เฟซสั่งงานด้วยเสียง: เทคโนโลยีที่มาแรงโดยเฉพาะในเอเชีย

มนุษย์สนทนากับหุ่นยนต์ AI ผ่านการโต้ตอบด้วยเสียง มีคลื่นเสียงและฟองข้อความปรากฏ
อินเทอร์เฟซเสียงเป็นหลักช่วยให้เกิดการสนทนาธรรมชาติระหว่างมนุษย์และระบบ AI

แม้ว่าการพิมพ์ยังคงเป็นวิธีหลักในการโต้ตอบกับ AI แต่ “การสั่งงานด้วยเสียง” (Voice-first AI) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความก้าวหน้าในเครื่องมือการจดจำเสียง (speech recognition), การเข้าใจน้ำเสียงธรรมชาติ (natural tone understanding), และการแปลแบบเรียลไทม์ (real-time translation) ทำให้ AI มีความสามารถในการสนทนาที่ซับซ้อนผ่านเสียงได้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว:

  • ศูนย์บริการที่ใช้ Voice Bot รับสายหลายล้านครั้งต่อเดือน
  • ผู้ช่วยเสียงที่เข้าใจหลายภาษาในวงการธนาคาร โลจิสติกส์ และการแพทย์
  • เครื่องมือช่วยผู้พิการทางสายตาให้เข้าถึงบริการดิจิทัล

ความสามารถในการเข้าใจน้ำเสียง และแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ AI เข้าถึงคนจำนวนมากขึ้นอย่างแท้จริง

6. จากผู้สร้างสรรค์คนเดียวสู่การ “ร่วมสร้าง” ระหว่างมนุษย์กับ AI

ฉากแยกแสดงมือหุ่นยนต์ AI พิมพ์บนแล็ปท็อปและมือมนุษย์เขียนบนกระดาษพร้อมแผนภูมิ
การร่วมมือระหว่างมนุษย์และ AI ผสมผสานการสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

วันนี้ Gen AI ไม่ได้มาแทนที่นักสร้างสรรค์ แต่กลายเป็น “พาร์ตเนอร์ร่วมงาน” ที่ช่วยจุดประกายความคิด สร้างเนื้อหา และทดลองไอเดียใหม่ ๆ

ตัวอย่าง:

  • AI เสนอคำโปรยโฆษณาหลายรูปแบบให้เลือก
  • ระบบเขียนบทที่สามารถปรับโครงเรื่องได้ตามโจทย์
  • เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ทั้งออกแบบ เขียนโค้ด และทดสอบหน้าเพจให้เสร็จในตัวเดียว

บริษัทอย่าง Pika กำลังทำให้การสร้างวิดีโอคุณภาพสูงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปก็ทำได้ (Fast Company, 2025)

แล้วทำไมเทรนด์เหล่านี้ถึงสำคัญ?

เพราะอนาคตของ Gen AI ไม่ใช่แค่ “เทคโนโลยีที่ดีกว่า” แต่คือ “การเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีใช้ชีวิตของเราโดยสิ้นเชิง”

สรุปเทรนด์เด่นที่ต้องรู้:

  • Agent AI หลายตัวทำงานร่วมกันแบบเป็นทีม
  • AI เข้าใจอารมณ์มนุษย์มากขึ้น
  • มีกฎระเบียบที่บังคับความโปร่งใส
  • แพลตฟอร์มใหม่ที่คิดมาเพื่อใช้ AI ตั้งแต่ต้น
  • อินเตอร์เฟซเสียงกำลังมาแรง
  • งานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นการทำงานร่วมกับ AI

ทาง Amity Solutions ก็มีบริการ Generative AIที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเช่นกัน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่